ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณีนิยม โดยการจัดงานศพแบบจีน-พุทธมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลายอย่าง เช่น
ตรวจสอบสภาพศพให้เหมือนกับตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ และอาจสวมใส่ชุดโปรดให้ เพราะคนจีนเชื่อกันว่า การนำศพเคลื่อนย้ายไปบรรจุโลง ก็เปรียบเสมือนการขึ้นบ้านหลังใหม่ที่ต้องตระเตรียมให้พร้อมที่สุด
โดยลูกหลานผู้วายชนม์จะใช้ตะเกียบคีบข้าวป้อนเข้าปาก ผู้ป้อนจะต้องกล่าวขอบคุณผู้วายชนม์เพื่อระลึกบุญคุณต่าง ๆ ที่ผ่านมาเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ จากนั้นให้นำกิ่งทับทิมแตะน้ำมนต์แล้วไปสัมผัสปากผู้วายชนม์ เพื่อให้ผู้วายชนม์ได้ดื่มน้ำมนต์ของพระพุทธองค์
ผู้ทำพิธีจะต้องจุดธูปบอกเจ้าที่ก่อนบรรจุศพลงไป เพราะโลงเหมือนบ้านหลังใหม่ เมื่อผู้วายชนม์กำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ ก็ต้องบอกกล่าวเจ้าที่ หลังจากนั้นจึงจะยกผู้วายชนม์บรรจุในโลงต่อไป
โดยให้บรรจุกระดาษ พร้อมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ลงโลง เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการปิดฝาโลง เพื่อนำไปทำพิธีต่อไป
การเชิญพระมาสวดบทอภิธรรมที่มีความหมายเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิต เพื่อให้เห็นความจริงของชีวิตตามธรรมชาติหรือธรรมดา รวมถึงระลึกถึงคุณความดีของผู้วายชนม์
เป็นการทำบุญให้แก่ผู้วายชนม์ตามพิธี มีการสวดและเผากระดาษที่ทำเป็นรูปต่าง ๆ เช่น บ้านเรือน คนใช้ โดยการแต่งกายของผู้ที่มีความสัมพันธ์กับผู้วายชนม์ ด้านในสุดจะใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าดิบ ส่วนด้านนอกจะใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าปอหรือผ้ากระสอบ เรียกว่า หมั่วซ่า โดยจะมีสีหรือเครื่องหมายแสดงความเกี่ยวข้องต่อผู้วายชนม์
คือการนำดวงวิญญาณไปส่งแดนพุทธเกษตร โดยลูกหลานจะตามมาส่งด้วย พอส่งเสร็จก็เดินข้ามกลับ โดยทุกครั้งที่ข้ามสะพาน ลูกหลานจะต้องโยนสตางค์ลงในอ่างน้ำ เหมือนเป็นการซื้อทางให้ผู้วายชนม์และตัวเอง แต่มีข้อควรระวังคือ สาวที่มีประจำเดือนห้ามข้ามสะพานนี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้วายชนม์เดินข้ามต่อไปไม่ได้
ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบ้าน บ้านที่มีความเชื่อเรื่องฮวงซุ้ย และมีที่ฝังศพ ก็อาจจะยังคงยึดถือวิธีฝังอยู่ ส่วนบางบ้านที่เป็นความเชื่อแบบไทย ก็จะนำศพไปประกอบพิธีฌาปนกิจในวันสุดท้ายของพิธีแทน
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ทางสุสาน/วัดจะมีบริการจัดงานศพครบวงจรอยู่ และมีหลากหลายแพ็กเกจให้สามารถเลือกใช้บริการได้ตามงบประมาณของแต่ละคน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้จัดงาน และไม่ให้พลาดรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Romdee.net